วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เบาหวานทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ?





คำถามที่ได้ยินกันค่อนข้างบ่อยคือ เป็นโรคเบาหวานแล้ว สมรรถภาพทางเพศจะเสื่อมลงหรือไม่ คำตอบกว้างๆ คือ เสื่อมลง แต่ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเบาหวานในผู้ชายหรือผู้หญิง และขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ ด้วย
สิ่งสำคัญที่ควรรู้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

  • โรคเบาหวานจะไม่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์เปลี่ยนไปในผู้หญิง 
  • ผู้ชายที่เป็นเบาหวาน อารมณ์ทางเพศและความสามารถในการร่วมเพศอาจลดลงได้ทั้ง อย่าง 
  • การแข็งตัวของอวัยวะเพศในผู้ชายต้องอาศัยการทำงานของระบบประสาท หลอดเลือด ฮอร์โมน สารหลั่งบางอย่าง สิ่งเหล่านี้มักจะผิดปกติและเป็นต้นเหตุของ ED ในเบาหวาน 
  • เบาหวานอาจถือได้ว่าเป็นโรคที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการED 
  • ผู้ที่เป็นเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยมาประมาณ 10 ปี มีโอกาสเกิดอาการ ED ได้แล้วถึง 50-70% 
  • อายุยิ่งมาก ระยะเวลาเป็นเบาหวานยิ่งนาน การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี และการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ของเบาหวาน จะทำให้เป็น EDได้มากขึ้น 
  • ผู้ที่เป็นเบาหวานมักต้องกินยาหลายชนิด บางชนิดอาจทำให้เกิด EDได้ 
  • การรักษา ได้แก่ การแก้ไขปัจจัยเสี่ยงต่างๆ การให้ยาเม็ดเพื่อช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้นานขึ้น แต่ยาเหล่านี้ไม่สามารถกระตุ้นให้มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้น
โดยทั่วไปโรคเบาหวานจะไม่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์เปลี่ยนไปในผู้หญิง แต่ถ้าโรคเบาหวานรุนแรงมาก หรือมีโรคแทรกซ้อนหลายๆ อย่างจนหญิงนั้นหมดอารมณ์ การมีเพศสัมพันธ์จะลดลง

ในผู้ชายที่เป็นเบาหวาน อารมณ์ทางเพศและความสามารถในการร่วมเพศอาจลดลงได้ทั้ง อย่าง เพราะในผู้ชาย การที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้จำเป็นต้องมีการแข็งตัวของอวัยวะเพศจนสามารถสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้หญิง การแข็งตัวของอวัยวะเพศในผู้ชายต้องอาศัยการทำงานของระบบประสาท หลอดเลือด ฮอร์โมน สารหลั่งบางอย่าง ตลอดจนอวัยวะเพศที่สมบูรณ์ ผู้ป่วยเบาหวานชาย ถ้ามีปัจจัยหลายๆ ประการที่กล่าวมานี้ขาดตกบกพร่อง มีโอกาสบ่อยที่จะเกิดการไม่แข็งตัวของอวัยวะเพศ (Erectile dysfunction หรือ ED) ทั้งๆ ที่ยังมีอารมณ์อยากจะร่วมเพศอยู่เต็มเปี่ยม

กรณีนี้ จะเป็นความทุกข์ทรมานต่อจิตใจของผู้ป่วยเบาหวานอย่างยิ่ง เพราะรู้สึกว่าเป็นชายที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังอาจมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก เช่น ภรรยาที่บ้านอาจระแวงว่าแอบไปมีหญิงอื่น หรือบางคนพาลมีอารมณ์หงุดหงิดในเวลาทำงาน ไม่มีสมาธิในการทำงาน ในผู้ชายที่ปลงได้ ก็อาจไม่มีปัญหาอะไร คิดว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงอาการ ED เป็นภาวะแทรกซ้อนอย่างหนึ่งของโรคเบาหวานที่พบได้บ่อยถึง 27% ถึง 75%ของผู้ที่เป็นเบาหวานแล้วแต่ว่าจะสำรวจในคนอายุมากหรือน้อย เป็นเบาหวานมานานหรือยัง มีโรคแทรกซ้อนของเบาหวานหรือยัง มีโรคอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่หรือไม่ กินยาที่ทำให้เกิด ED ร่วมด้วยหรือไม่ มีปัญหาทางจิตใจอย่างอื่น
ร่วมด้วยหรือไม่ ส่วนในผู้หญิงเนื่องจากกระบวนการในการมีเพศสัมพันธ์ไม่ต้องมีการแข็งตัวของอวัยวะเพศจึงไม่มีโรค ED ในผู้หญิง

ผู้ที่เป็นเบาหวานชายยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์ลดลงด้วยคือ การมีอารมณ์ทางเพศลดลงเนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตอโรน (Testosterone) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชายสูงอายุ กรณีนี้บางคนอาจไม่รู้สึกเป็นทุกข์มาก เพราะไม่มีทั้งอารมณ์ที่จะร่วมเพศ (Libido ลดลง) และอวัยวะเพศก็ไม่แข็งตัว (ED) ความทุกข์ร้อนจึงอาจไม่เท่าชายฉกรรจ์ที่มีความรู้สึกทางเพศดีอยู่แต่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวมีแต่อาการ ED
ชายที่เป็นเบาหวาน เป็น ED กันมากแค่ไหน

เบาหวานอาจถือได้ว่าเป็นโรคที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการ ED มีรายงานมานานมากกว่า 200 ปี คือตั้งแต่ ค.ศ. 1798 ผู้ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสพบอาการ ED ได้มากกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวานที่มีอายุเท่าๆ กัน และสามารถพบได้แม้ว่าอายุยังน้อย ผู้ที่เป็นเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยมาประมาณ 10 ปี มีโอกาสเกิดอาการ ED ได้แล้วถึง 50-70% ซึ่งอายุเป็นตัวแปรที่สำคัญของอาการนี้ คนที่อายุ 20-29 ปี พบ ED ได้ 9% อายุ >70 ปี พบได้ถึง 95%นอกจากนี้ อุบัติการณ์จะยิ่งเพิ่มขึ้นถ้าเป็นเบาหวานมานานมาก การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี และมีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว เช่น ที่ระบบประสาท หลอดเลือด หัวใจ ไต อายุเป็นตัวแปรที่สำคัญในการเกิด ED ทั้งในคนที่เป็นและไม่เป็นเบาหวาน ชายอายุ 80 ปี มีโอกาสเกิด ED ได้ 70-80% ไม่ว่าจะเป็นเบาหวานหรือไม่ แต่ที่อายุ 40 ปี ถ้าเป็นเบาหวาน มีโอกาสเป็น ED ได้ถึง 8-50%โดยที่คนทั่วไปพบได้เพียง 2% เท่านั้นที่อายุขนาดนี้
สาเหตุของ ED ของคนเป็นเบาหวาน

ดังกล่าวมาแล้วว่าสาเหตุของ ED มีหลายอย่าง ซึ่งแต่ละเรื่องก็พบได้ในโรคเบาหวาน หลอดเลือดแดงในคนเป็นเบาหวานจะแข็งและมีการยืดหดตัวที่ผิดปกติ ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงที่อวัยวะต่างๆ ลดลง นอกจากนี้บางส่วนของหลอดเลือดอาจมีการอุดตัน การไหลเวียนของเลือดจะยิ่งลดลง อวัยวะเพศชายประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่คล้ายฟองน้ำซึ่งเต็มไปด้วยหลอดเลือดฝอยเล็กๆ การแข็งตัวเกิดจากการพองตัวของหลอดเลือดเพราะมีเลือดไหลมาคั่งไว้ ในผู้ที่เป็นเบาหวาน อาการ ED เกิดขึ้นเนื่องจากเลือดไหลมาบริเวณนี้น้อยลงและไม่สามารถทำให้เกิดการคั่งได้ ทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัว บางครั้งแข็งตัวได้แต่อยู่ได้ไม่นาน เพราะขาดสารหลั่งที่เรียกว่า ไนตริกอ๊อกไซด์ซึ่งสร้างจากปลายประสาท และผนังด้านในของหลอดเลือดที่เรียกว่าเอ็นโดธีเลี่ยม (endothelium) ไนตริกอ๊อกไซด์มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดียิ่งขึ้น

ระบบประสาทอัตโนมัติในคนเป็นเบาหวานมักจะเสื่อมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ป่วยมานานและไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีมาตั้งแต่ต้น จัดว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนทางประสาทของโรคเบาหวานที่สำคัญที่ทำให้เกิดอาการ ED การควบคุมเบาหวานให้ดีตั้งแต่ต้นจึงเป็นทางหนึ่งที่สามารถป้องกันหรือชะลอการเกิด ED ได้ ถ้าเริ่มมาควบคุมระดับน้ำตาลหลังจากเป็นมานานแล้ว การป้องกันจะมีผลน้อยลง การเสื่อมของระบบประสาทที่มาควบคุมอวัยวะเพศจะทำให้การสร้างไนตริกอ๊อกไซด์จากปลายประสาทลดลงจึงทำให้เกิด ED

สารไนตริกอ๊อกไซด์ (nitric oxide, NO) นอกจากสร้างจากปลายประสาทแล้วยังสามารถสร้างจากเซลล์ที่บุผนังด้านในของหลอดเลือด (endothelial cell)คนเป็นเบาหวานจะมีการเสื่อมของเซลล์เหล่านี้ ทำให้สร้างไนตริกอ๊อกไซด์ได้ลดลง ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานและควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดีพอ จะยิ่งมีการเสื่อมของเซลล์เอ็นโดธีเลี่ยมได้มาก ทำให้เกิดอาการ ED ได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้หากคนที่มีภาวะความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงซึ่งพบได้บ่อยในคนเป็นเบาหวาน ก็ทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์เยื่อบุผนังด้านในของหลอดเลือดจะยิ่งทำให้เกิด ED ได้มากขึ้น ส่วนสาเหตุอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ก็มีการวิจัยพบว่าทำให้หลอดเลือดตีบลงและมีการเสื่อมของเซลล์เอ็นโดธีเลี่ยม ดังนั้นการที่จะทำให้อาการ ED ดีขึ้น จำเป็นต้องงดการสูบบุหรี่ด้วย

ในคนเป็นเบาหวานที่มีอายุมากการสร้างฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตอโรนอาจลดลง มีส่วนทำให้อารมณ์ทางเพศลดลง และเกิดอาการ ED ได้ ส่วนใหญ่ของคนเป็นเบาหวานมักต้องกินยาหลายชนิด บางชนิดก็อาจทำให้เกิด ED ได้ เช่น ยาลดความดันโลหิตสูงประเภทเบต้าบล๊อคเก้อร์ ยากดระบบประสาท ยารักษาอาการซึมเศร้า ยารักษาโรคกระเพาะอาหารบางชนิด แต่ยารักษาโรคเบาหวานไม่ว่าชนิดเม็ดหรือชนิดฉีดไม่พบว่าทำให้เกิดอาการ ED ยาลดโคเลสเตอรอลในเส้นเลือดก็ไม่ทำให้เกิดอาการนี้

การป้องกันและรักษาโรค ED ในผู้ที่เป็นเบาหวาน
ผู้ชายที่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานแล้ว ถ้ายังไม่อยากให้เกิดอาการ ED ควรดูแลสุขภาพทางเพศ

ให้ดีโดยงดเว้นการสูบบุหรี่ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์มากและบ่อยเกินควร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าให้น้ำหนักตัวมากเกิน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงมาตรฐานให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่อาจทำให้เกิดอาการ ถ้าปฏิบัติตัวได้ดีแล้ว แต่ก็ยังมีบางครั้งที่เกิด ED ควรปรึกษาแพทย์ การรักษาได้แก่การแก้ไขปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ การให้ยาเม็ดเพื่อช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้นานขึ้นจนสามารถร่วมเพศได้ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าถ้าไม่มีอารมณ์ทางเพศอวัยวะเพศจะไม่มีทางแข็งตัวได้ ยาเม็ดเหล่านี้ไม่สามารถกระตุ้นให้มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้นแต่อารมณ์ทางเพศจะเกิดขึ้นจากการสัมผัส การมองเห็น การพูดจา ตลอดจนการมีฮอร์โมนเพศชายที่ปรกติ ในคนที่เหนื่อยล้ามากจากการทำงาน ไม่มีเวลาพักผ่อน นอนไม่หลับ เครียดมาก หรือการมีโรคร้ายแรงต่างๆ มากมาย อารมณ์เพศจะเกิดขึ้นได้ยาก

ผู้ที่มีอาการ ED รุนแรงการให้ยาเม็ดอาจต้องใช้ในขนาดที่สูง ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานมากกว่าโรคอื่น แต่บางครั้งการที่ใช้ยาขนาดเริ่มต้นแล้วไม่ได้ผล อาจเนื่องจากการใช้ยาไม่ถูกวิธี เช่น ให้เวลายาในการออกฤทธิ์น้อยเกินไป จิตใจยังไม่พร้อมที่จะมีกิจกรรมทางเพศ ในผู้ป่วยที่ใช้ยาขนาดสูงสุดแล้วยังไม่ได้ผลจำเป็นต้องพบแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับโรคนี้ ซึ่งอาจแนะนำการใช้ยาสอดเข้าไปในช่องปัสสาวะ การฉีดยาเข้าที่อวัยวะเพศโดยตรง หรือการผ่าตัดเพื่อฝังแกนในอวัยวะเพศ




สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178

ดูรายละเอียดที่ http://www.pannfiturok.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์ของวิตามินซีที่ผสมใน UROK


ประโยชน์ของวิตามินซีช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัย

การรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้ผิวใส เนียน นุ่มลื่นอย่างเป็นธรรมชาติ

ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ช่วยในการรักษาและป้องกันโรคหวัด

ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

ประโยชน์วิตามินซี ช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด

ช่วยต่อต้านการสร้างสารไนโตรซามีน (สารก่อมะเร็ง)

ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

ประโยชน์ของวิตามินซี ช่วยลดความดันเลือด

ช่วยลดการเกิดเส้นเลือดเลือดอุดตัน ในหลอดเลือดดำ

ช่วยต่อชีวิตให้เซลล์โดยช่วยให้โปรตีนในเซลล์เกาะเกี่ยวกันได้ดีขึ้น

ช่วยเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็ก

เป็นยาระบายตามธรรมชาติ

เพิ่มประสิทธิภาพของยาที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

ช่วยลดอาการที่เป็นผลมาจากสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้

ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิด

ช่วยเร่งให้แผลหลังผ่าตัดหายเร็วยิ่งขึ้น


ช่วยในการรักษาแผลสด แผลไหม้ให้หายเร็วยิ่งขึ้น





สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178

ดูรายละเอียดที่ http://www.pannfiturok.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สรรพคุณและประโยชน์ของคลอลาเจนในผลิตภัณท์ UROK




1.เป็นองค์ประกอบหลักของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในร่างกาย

2.เพิ่มความยืดหยุ่น มีน้ำมีนวล รู้ขุ่มขนตื่นขึ้นและกระชับให้กับผิวหนัง

3.เพิ่มความแข็งแรง  เรียบเนียน  ให้ความชุ่มชื้นป้องกันการเกิดริ้วรอย  เหยี่ว
หย่น

4.ช่วยให้การทำงานบริเวณข้อต่อ กระดูกอ่อนเป็นไปอย่างปกติ


5.ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อ และข้อยึด รวมถึงป้องกันข้ออักเสบข้อเสื่อมในผู้

สูงอายได้








สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178

ดูรายละเอียดที่ http://www.pannfiturok.blogspot.com/

ประโยชน์และสพรรคุณของปลาไหลเผือกในผลิตภัณท์ UROK


ประโยชน์ทางสมุนไพร :



ใช้ในการรักษา อาการข้อเสื่อม โดยเข้าไปในกระบวนการเมตาบอลิซึมของคอลลาเจน เพื่อมส่อมแซม เอ็นต่างๆ(tendon),ligament,cartilac ที่เสื่อม(เช่นรูมาติก,อาร์ทิสติก),Pariodontal,ghout และอื่นๆ
เช่นปวดข้อในหญิงวัยหมดประจำเดือน ใช้บำรุงเซ็กซ์ เสริมสมรรถภาพทางเพศ และช่วยเพิ่มจำนวนตัวสเปิร์มในน้ำอสุจิ เพิ่มความแข็งแรงและความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวของตัวสเปิร์ม นอกจากนี้ ยังช่วยในการรักษาโรคต่างๆ โดยเข้าไปเสริมสารต่างที่มีผลต่อโรคนั้นเช่น กระเพาะอาการอักเสบ ลดไข้ หอบหืด สร้างสมดุลให้กับฮอร์โมนเพศหญิง

ปลาไหลเผือกหรือตองกาทอาลีกับระดับเอนโดเจน

คนทั่วไปมักจะรู้จักฮอร์โมนเอนโดเจน เช่น ดีเอชอีเอ,เทสทอสเตร์โรน และโปรเจสเตอร์โรน ว่าฮอร์โมนเหล่านี้จะมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับสภาพหรือประสิทธิภาพเรื่องเซ็กซ์ และบทบาทของเซ้กซ์ แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นที่ทราบกันดีว่า ออร์โมนเหล่านี้ยังมีบทบาทที่ขาดไม่ได้ในการควบคุมเรื่องพลังงาน การสร้างกล้ามเนื้อ น้ำหนัก อารมณ์ดี การสร้างไขกระดูก และระบบการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ระดับแอนโดเจนจะมีสภาวะที่ลดต่ำลงทั้งในชายและหญิง ระดับเทสทอสเตอโรนเองก็ลดลงตามอายุ จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์หรือแพทย์พบว่า เทสทอสเตอร์โรนจะมีระดับสูงสุดเมื่ออายุราวๆ 20 ปี และในบั้นปลายของชีวิตจะมีระดับเทสทอสเตอร์โรนเพียง 20%-50%เมื่ออายุ 80 ปี โดยเฉลี่ยแล้วจะลดลง 2% ต่อปี ผู้ชายทั่วไประดับเทสทอสเตอร์โรนจะเริ่มลดลงจนถึงระดับ 350 ng/ml เป็นระดับที่ประสิทธิภาพทางกายต่ำเมื่อมีอายุช่วง 50-60 ปี โดยปรกติทั่วไปเทสทอสเตอร์โรน ควรจะมีอยู่ในเลือดที่ระดับ 500-1,100 ng/ml เพื่อการบำบัดก็ควรจะมีระดับอยู่ราว 1500ng/ml

ส่วนผู้หญิง ภายในรังไข่จะรับผิดชอบในการผลิตเทสทอสเตอร์โรน ประมาณ 40% ของทั้งหมดที่ผลิตได้จากร่างกาย เมื่อระดับเทสทอสเตอร์โรนลดลง จะมีอาการอ่อนล้า น้ำหนักเพิ่ม สมรรถนะทางกาย พลังงาน และอารมณ์ต่ำลง ที่สำคัญจะขาดความต้องการทางเพศ ปลาไหลเผือกจะเป็นตัวช่วย ให้ระบบต่อมไร้ท่อมีความสมบูรณ์ในการผลิตแอนโดเจน


Tongkat Ali AphrodisiacProperties
ปลาไหลเผือกกับคุณสมบัติการกระตุ้นกามารมณ์

ปลาไหลเผือกกระตุ้นให้อัณฑะผลิตเทสทอสเตอร์โรนมากขึ้นด้วยตัวเอง โดยการส่งสัญญานไปที่ระบบประสาทส่วนกลางและต่อมพิททุอิทารี่ ไม่ใช่เป็นการให้ฮอร์โมนสังเคาะห์ ร่างกายเราสามารถรับเอาเทสทอสเตอร์โรนสังเคาะห์ได้ แต่ไอ้เจ้าฮอร์โมนสังเคาะห์จะเป็นตัวค่อยขัดขวางระบบต่างๆทางเพศ เป็นเหตุให้เจ้าโลกและอัณฑะของเราเหี่ยวเฉาลง เพราะว่าเมื่เทสทอสเตอร์โรนมี
ระดับ(เทียม)สูงขึ้น ฮอร์โมนเพศ( แอนโดเจน และ เอสโทรเจน) จะส่งสัญญานไปให้ร่างกายสั่งลดระดับหรือหยุดการผลิตเทสทอสเตอร์โรนเองของร่างกายลง เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "negative feedback" หรือ การสนองตอบด้านลบ ปลาไหลเผือกจะขัดขวางปฏิกิริยานี้ไม้ให้ไปยังระบบประสาทส่วนกลางและต่อมพิททุอิทารี่ รับรู้เพื่อเหตุผลที่ต้องการให้ร่างกายยังคงผลิตและยกระดับเทสทอสเตอร์โรน ทำให้อัณฑะสามารถผลิตเทสทอสเตอร์โรนได้เต็มหน้าที่และขีดความสามารถ เจ้าโลกและอัณฑะของท่านก็จะมีการเพิ่มขนาดที่ใหญ่โตขึ้น(ยืนยันว่าจริง)

Tongkat Ali IncreaseEnergy Level ปลาไหลเผือกกับการเพิ่มพลังงาน

พลังงานในร่างกายเราถูกสะสมอยู่ในรูปของ ATP (adenosine triphosphate) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่มีพลังงานสูงมาก ถูกใช้โดยร่างกายเพื่อที่จะทำกิจกรรมต่างๆ จากการศึกษาและทดลองกับสัตว์ ปลาไหลเผือกมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงขบวนการผลิตพลังงานท่ามกลางปฏิกิริยาเรืองแสงภายในระบบเซลหรือในไมโตรคอนเดรีย (ชักจะลึก) ด้วยเหตุผลนี้ ปลาไหลเผือกสามารถที่จะนำมาบริโภคเพื่อกระตุ้นหรือยกระดับของพลังงาน ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถเอาชนะความเฉื่อยชา และความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี นอกจากการเพิ่มพลังงานปลาไหลเผือกยังดูเหมือนว่าช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารเพื่อให้เกิดพลังงานอีกด้วยปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้เรารู้สึกมีอาการร้อนจากตามตัวจากการบริโภคปลาไหลเผือกครับผม

ปลาไหลเผือกกับความสมบูรณ์ของเสปิร์ม
จากการศึกษาพบว่า รากปลาไหลเผือกตัวเสปิร์มดีและแข็งแรง มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนตัวอสุจิ ขนาด และความเร็วในการเคลื่อนที่ด้วย จากงานวิจัยการทดสอบกับหนูพบว่ามากเป็นเท่าตัว

Tongkat Ali Anti-OxidantProperties
ปลาไหลเผือกกับปฏิกิริยาต่อต้านอนุมูลอิสระ
การศึกษาที่เกี่ยวข้องหลายๆครั้งที่ผ่านมาโดยนักวิจัยชาวมาเลเซีย พบว่า รากปลาไหลเผือกประกอบไปด้วย Superoxide dimutase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระนั้นคือความสามารถในการหยุดยั้งปฏิกิริยาลูกโซ่ที่จะเป็นโทษต่อร่างกายเรา และทำให้ชลอความชราลงได้


สมุนไพรไทยอีกชนิดที่น่าสนใจ มีการใช้กันมาอย่างยาวนานนับศตวรรษ โดยบ้านเราเองใช้กันในแง่การนำมาเป็นยาแก้ไข้ รักษาฝีในท้อง และแก้ไข้มาลาเลีย ที่ไหนได้เพื่อนบ้านเราโดยเฉพาะที่ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย กลับมีการค้นพบว่า สมุนไพรปลาไหลเผือกหรือ ตองกัท อาลี นอกจากรักษาโรคได้หลายชนิด(กว่าร้อยโรคในเวียดนาม) ยังมีสรรพคุณพิเศษที่ใช้ในการกินหรือบริโภคเพื่อเป็นยาโด๊ป ในการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศให้แก่มนุษย์ได้เป็นอย่างดี อาจจะมากกว่าการใช้ยาไวอากร้าเสียอีก ใช้ได้ทั้งเพศชายและหญิง(แต่ปริมาณที่ใช้ในหญิงต้องน้อยกว่าชาย) มีข้อดีต่อร่างกายมากแทบหาผลเสียไม่ได้เลย ที่นี้เรามาดูกันว่า สมุนไพรนี้มีชื่อ ความเป็นมา ประโยชน์ และคุณค่าทางยาอย่างไรกันบ้าง

เริ่มจากชื่อ มีชื่อเรียกในทางวิทยาศาสตร์และตามท้องถิ่นดังนี้ :
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eurycoma longifolia Jack
วงศ์ : Simaroubaceae
ชื่อไทย : กรุงบาดาล คะนาง ชะนาง ตรึงบาดาล ตุงสอ แฮพันชั้น เพียก หยิกบ่อถอง หยิกไม่ถึง เอียนดอน ไหลเผือก
ชื่อเวียดนาม : เคบาบินห์หรือสมุนไพรรักษากว่า 100 โรค
ชื่อมาเลเซีย : ตองกาท อาลี หรือไม้เท้าของเฒ่าอาลี
ชื่ออินโดนีเซีย : Pasak Bumi
ลักษณะ : ไม้ยืนค้น สูง 4-6 เมตร ลำต้นตรง ไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ออกเป็นกระจุกบริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่แกมวงรี กว้าง 2-3 ซม. ยาว 5-7 ซม. สีเขียวเข้ม ยอดและใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดง ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีม่วงแดง ผลเป็นผลสด รูปยาวรี


เป็นสมุนไพรอันเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ว่ามีคุณสมบัติทางการแพทย์ไม่แพ้ยาปฏิชีวนะที่ซึ่งพบได้ ในป่าในพื้นที่ทางภาคใต้ของไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ถูกใช้ในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
ปลาไหลเผือกหรือตองกาท อาลี จะไปกระตุ้นกระบวนการชีวภาพสังเคราะห์ให้กับ hormone endrogen ซึ่งมีฤทธิ์ในการกระตุ้นกามารมณ์ นอกจากนี้ พืชชนิดนี้ยังมี Flavanoid ซึ่งมีฤทธิ์ เป็นสารต้านปฏิกิริยารวมตัวกับ

ออกซิเจน(antioxidance) ล่าสุดนักวิจัยมาเลเซีย ได้มีการวิจัยอย่างถึงแก่นแล้วกลับพบว่า มันมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งและเชื้อเอชไอวี (ativirus) ได้ด้วย ซึ่งหน่วยงานของรัฐบาลมาเลเซียและสถาบันเทคโนโลยีแมทซาซูเสส หรือเอ็มไอที ได้ออกมาเปิดเผยถึงการค้นพบในครั้งนี้

Tongkat ali หรือปลาไหลเผือก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "ยูรีโคมา ลองกิโฟเลีย" โดยเป็นพืชที่มีชื่อเสียงด้านการช่วยเพิ่มพลังทางเพศในชาย นอกจากนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ของมาเลเซีย ยังนิยมใช้พืชชนิดนี้มาช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดีขึ้น และยังใช้รักษาผิวหนังที่เกิดการติดเชื้อได้อีกด้วย

ตำรายาไทยใช้รากเป็นยาแก้ไข้ทุกชนิดรวมทั้งไข้จับสั่น พบว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นสารที่มีรสขมได้แก่ eurycomalactone eurycomanol และ 

eurycomanone สารทั้งสามมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาเลเรียชนิดฟัลซิพารัมในหลอดทดลองได้ จัดเป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพ และเห็นควรศึกษาวิจัยต่อไป แต่ในขณะที่มาเลเซียไปไกลกว่าไทยมากกว่า 10 ปี รัฐบาลส่งเสริมอย่างจริงจังทุกๆด้าน ทั้งเครื่องไม้เครื่องมือ เงินทอง บุคลากร รวมทั้งมีการศึกษาและวิจัยจากมหาลัยและสถาบันของรัฐบาลมากกว่า 16 แห่ง มีการจดสิทธิบัตรเกี่ยวกับสมุนไพรนี้อีกหลายฉบับ มีการต่อยอดจากงานวิจัยผลิตจำหน่ายภายในและต่างประเทศเป็นสินค้าในลักษณะที่เป็นยา อาหารเสริม และเครื่องดื่ม โดยใช้ปลาไหลเผือกหรือตองกาทอาลีเป็นส่วนประกอบหลัก มากกว่า 100 ตราสินค้า โดยทั้งหมดเน้นคุณสมบัติทางด้านการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นไวอาก้าจากธรรมชาติกันเลย






สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178

ดูรายละเอียดที่ http://www.pannfiturok.blogspot.com/

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พิษภัยของแอลกอฮอล์สำหรับคุณผู้ชายชอบดื่ม






ตับถือเป็นอวัยวะที่เสี่ยงต่อพิษภัยของแอลกอฮอล์อย่างมาก ระยะเวลา และปริมาณของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป มีผลโดยตรงต่อตับ ยิ่งถ้าดื่มนานต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า ๑๐ ปี ขึ้นไป ยิ่งมีโอกาสที่ตับจะเกิดปัญหาจากแอลกอฮอล์ได้ แม้กระนั้นก็ตาม ในบางรายอาจใช้เวลาไม่ถึง ๑๐ ปี หากปริมาณที่บริโภคนั้นค่อนข้างสูง โดยทั่วไปแอลกอฮอล์ จะทำให้เกิดอันตรายต่อตับในผู้หญิงได้ง่าย กว่าในผู้ชาย แม้จะดื่มในปริมาณที่น้อยกว่า ก็ตาม ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยทางด้านฮอร์โมนบางชนิด โรคตับที่เกิดจากผลของแอลกอฮอล์ แบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ โรคไขมันสะสม ในตับจากแอลกอฮอล์ โรคตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ และโรคตับแข็ง


ภาวะนี้พบได้เป็นส่วนใหญ่ในผู้ที่ดื่มจัด แต่ถ้าหยุดดื่มแล้ว จะสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ ภาวะนี้เกิดจากความผิดปกติของการเผาผลาญ และการสร้างไขมัน อันเป็นผลมาจากแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในเซลล์ตับ ทำให้เซลล์บวม ตับโต บางครั้งอาจมีอาการกดเจ็บร่วมด้วย โดยทั่วไปภาวะนี้มักไม่ค่อยแสดงอาการให้เห็น ทำให้เป็นผลเสียต่อผู้นั้น เนื่องจากไม่มีสัญญาณคอยบ่งเตือนว่า ร่างกายกำลังมีปัญหา ทั้งๆ ที่ความผิดปกติกำลังดำเนินอยู่ แต่ถ้าเกิดภาวะนี้อย่างรุนแรง ก็จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ที่เรียกว่า ดีซ่าน ท้อง บวมน้ำ และบวมตามแขนขาร่วมด้วยได้ ผู้ที่เกิดภาวะนี้ อาจยังไม่รุนแรงถึงขั้นกลายเป็นโรคตับแข็ง ซึ่งต่างจากผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ ที่มีวามเสี่ยงสูงมาก ที่จะกลายเป็นโรคตับแข็งในที่สุด


แอลกอฮอล์ทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ ทำให้เกิดการเสื่อม และการตายของเซลล์ การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ต่างๆ เหล่านี้ มีผลทำให้โครงสร้างของเซลล์ตับผิดรูปร่าง ซึ่งเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่นำไปสู่โรคตับแข็ง อาการของผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบนี้จะแตกต่างกันไป ตั้งแต่ไม่มีอาการ มีอาการในระดับน้อย จนถึงอาการรุนแรงจนกระทั่งเสียชีวิตได้ โดยทั่วไปแล้วอาการมักประกอบด้วยปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักลด อึดอัดในท้อง และตัวเหลืองตาเหลือง บางรายมีไข้สูงร่วมด้วย เมื่อตรวจร่างกายมักจะพบว่ามีตับโตและ กดเจ็บ ประมาณ ๑ ใน ๓ จะพบม้ามโต ในรายที่เป็นรุนแรงจะพบภาวะท้องบวมน้ำ เลือดออก แขนขาบวม และมีอาการสับสน เนื่องจากสมองร่วมด้วยได้ ถึงแม้ว่าเมื่อหยุดบริโภคแอลกอฮอล์ไปแล้ว จะทำให้อาการตัวเหลืองตาเหลือง ท้องบวมน้ำ หรือภาวะสับสนดีขึ้นก็ตาม แต่หากยังบริโภคแอลกอฮอล์ต่อไปอีก ก็จะนำไปสู่การอักเสบของตับต่อไปได้เรื่อยๆ ในบางรายกว่าจะฟื้นตัวจากการอักเสบต้องใช้เวลานานมากประมาณ ๖ เดือน หรือมากกว่า ภาวะนี้จัดได้ว่าเป็นภาวะเบื้องต้นที่นำไปสู่การเกิดตับแข็งในโอกาสต่อไป


ถ้าการบริโภค แอลกอฮอล์ยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เซลล์ตับจะมีการถูกทำลายมากขึ้น ในที่สุด ตับจะฝ่อ เกิดภาวะที่เรียกว่า ตับแข็ง ส่วนใหญ่แล้ว ใช้เวลานานประมาณ ๑๐ ปี ผู้ที่เกิดภาวะนี้ จะมีอาการเบื่ออาหารผ่ายผอม ลักษณะแบบคนขาดอาหาร อ่อนเพลีย เลือดออกง่าย เกิดรอย ช้ำตามตัวได้ง่าย เมื่อเกิดภาวะตับแข็ง จะทำให้การไหลเวียนของโลหิตในตับ เป็นไปด้วยความลำบาก ทำให้ความดันในหลอดเลือดสูงขึ้น เกิดเส้นเลือดโป่งพอง อาจเป็นในบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งเสี่ยงต่อการอาเจียนออกมาเป็นเลือด นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดภาวะน้ำในช่องท้องมากขึ้น ท้องจะบวมน้ำ โดยปกติแล้วตับจะทำหน้าที่กำจัดของเสียในร่างกาย เมื่อเกิดภาวะตับแข็ง จะทำให้ตับทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดี ผลที่ตามมาก็คือ ภาวะตับวาย และการทำงานของสมองสับสนได้ ถึงแม้ว่าโรคตับแข็งจะเป็นโรคที่มีการดำเนินโรคอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม ร่วมไปกับการหยุดดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด อาจทำให้การดำเนินของโรคหยุด ลงได้ ส่งผลให้สภาพการทำงานของร่างกายที่ดีขึ้น


แอลกอฮอล์มีผลโดยตรงต่อหลอดอาหารและ กระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบ เป็นแผล คลื่นไส้ อาเจียน รวมถึงอาเจียนเป็นเลือดได้ ยิ่งถ้าเกิดตับแข็ง ซึ่งทำให้หลอดเลือดของหลอดอาหารโป่งพอง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น โอกาสที่จะอาเจียนเป็นเลือดจำนวนมาก จนถึงแก่ชีวิตก็ยิ่งสูงตามไปด้วย นอกจากนี้ การบริโภคแอลกอฮอล์จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง จะมีผลต่อตับอ่อนได้ ทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่าง รุนแรง และอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อ ตับอ่อนอย่าง ถาวรได้


แอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากจะมีผลต่อการทำงานของเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นระบบภูมิต้านทานอย่างหนึ่งของร่างกาย ทำให้สมรรถภาพในการกำจัดเชื้อโรคเสื่อมถอยลง มีผลทำให้เกิดสภาพร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อได้ง่าย และรุนแรง นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังมีผลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดอีกด้วย ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง และการแข็งตัวของเลือดผิดปกติไป


แอลกอฮอล์จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่บริโภคตั้งแต่ ๓ ดริงก์ต่อวัน ซึ่งหากยังมีการบริโภคอย่างต่อเนื่องในลักษณะเช่นนี้ไปนานๆ จะเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ นอกจากนี้แล้ว แอลกอฮอล์ยังทำให้คอเลสเทอรอล และไตรกลีเซอไรด์เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน ทั้งในสมองและหัวใจ อีกทั้งแอลกอฮอล์ยังเป็นพิษต่อกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง บางครั้งอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายอย่างถาวรได้ ประมาณว่า ๑ ใน ๓ ของผู้ป่วยที่เป็นโรคของกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นผลมาจากการบริโภค แอลกอฮอล์ในปริมาณที่มาก อาจทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติได้ แม้ในผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจมาก่อนก็ตาม


อัตราการเกิดมะเร็งจะพบได้สูงในผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะโรคมะเร็งของหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งของตับ ลำไส้ใหญ่ และปอดด้วย โดยสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง อาจเกิดจากการที่แอลกอฮอล์ มีผลทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมลง และจากการที่แอลกอฮอล์เป็นพิษต่ออวัยวะเหล่านี้โดยตรง ถึงแม้จากการศึกษาจะพบว่า สาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในผู้ที่ติดเหล้า จะเกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจก็ตาม แต่การเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในคนเหล่านี้ ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อยทีเดียว สถิติที่ได้จากการศึกษาต่างๆ พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ ๑.๕ ดริงก์ต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมได้ ๑.๔ เท่า และการดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ ๔ ดริงก์ต่อวัน ในทั้งเพศหญิงและชายจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งของหลอดอาหาร และช่องปากประมาณ ๓ เท่า หากปริมาณการดื่มเพิ่มขึ้นเป็น ๗ - ๘ ดริงก์ต่อวัน ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเหล่านี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น ๕ เท่า โดยสรุปแล้ว คาดการณ์ได้ว่า ผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ จะพบการเกิดโรคมะเร็งของระบบต่างๆ สูง เป็น ๑๐ เท่าของคนปกติทั่วไป


หลายคนมีความเชื่อว่า แอลกอฮอล์ช่วยทำให้หลับสบาย และหลายคนบริโภคแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยให้ตนเองหลับได้ดีขึ้นเป็นประจำ ความจริงแล้ว แอลกอฮอล์มีผลต่อการนอนหลับมากกว่าที่คิด คือ แอลกอฮอล์ ทำให้เกิดความรู้สึกง่วงได้จริง เมื่อเริ่มดื่มในช่วงแรกๆ หลังจากนั้น เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย และถูกเผาผลาญโดยตับ จะทำให้เกิดสารเคมีตัวใหม่ ซึ่งสารเคมีตัวนี้ มีผลกระตุ้นสมองทำให้เกิดการตื่น ดังนั้น ในครึ่งคืนแรกของการนอนอาจจะหลับได้เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ แต่คุณภาพการนอนในช่วงครึ่งคืนหลัง จะถูกรบกวนอย่างมาก และเมื่อมีการใช้แอลกอฮอล์เป็นประจำทุกวัน จะก่อให้เกิดภาวะติดแอลกอฮอล์ขึ้น นั่นคือ เมื่อไม่ได้ดื่ม หรือลดปริมาณการดื่มลง จะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ฝันร้าย กระสับกระส่าย จนต้องหันมาพึ่งแอลกอฮอล์ เพื่อระงับอาการเหล่านี้ จนกลายเป็นวงจรของการติดแอลกอฮอล์ไป นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังทำให้สมอง ที่เกี่ยวข้องกับการนอนนั้นเสื่อมลง ทำให้คุณภาพการนอนด้อยตามไปด้วย แม้ว่าจะหยุดดื่มแล้วก็ตาม จึงสรุปได้ว่า การบริโภคแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยการนอนหลับนั้น กลับจะยิ่งเพิ่มปัญหาให้เกิดโรคนอนไม่หลับตามมาได้


ประมาณร้อยละ ๑๐ ของผู้ที่ดื่มจัด จะเกิดอาการชา ปวด หรือเจ็บตามปลายมือปลายเท้าทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นผลโดยตรงของแอลกอฮอล์ และภาวะพร่องวิตามินที่มีต่อระบบปลายประสาท ในบางคนอาจมีอาการลักษณะนี้อย่างถาวรได้ แม้จะหยุดดื่มไปแล้ว ก็ตาม


ผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์จนติดนั้น อาจเกิดอาการหูแว่ว ได้ยินเสียงคนมาพูดต่อว่า ทำให้เกิดอาการหวาดกลัว หวาดระแวง ควบคุมตัวเองไม่ได้ หรืออาจมีอาการสับสน เพ้อ จำเวลา สถานที่ และบุคคลไม่ได้ จำกลางวันสับสนกับกลางคืน จำคนรอบข้างใกล้ชิดไม่ได้ ประสาทหลอน เห็นภาพต่างๆ ที่ทำให้กลัว อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นหลังจากหยุดหรือลดปริมาณการบริโภคแอลกอฮอล์ลง ภายใน ๑ - ๓ วัน บางรายอาจเกิดอาการชักนำมาก่อน ถ้าเกิดอาการเหล่านี้ขึ้น จะเป็นตัวบ่งบอกว่า สมองได้รับพิษจากแอลกอฮอล์ถึงระดับที่รุนแรงแล้ว นอกจากนี้ ภาวะขาดแอลกอฮอล์อาจทำให้เกิดอาการหูแว่วเพียงอย่างเดียวได้ โดยมีอาการประสาทหลอนคิดว่า มีคนคอยจ้องที่จะทำร้าย ก่อให้เกิดอาการหวาดระแวง กลัวถูกฆ่า และควบคุมตัวเองไม่ได้ ถึงขั้นทำร้ายตัวเอง หรือจับผู้อื่นเป็นตัวประกัน อาการทางจิตต่างๆที่กล่าวมานี้ พบได้สูงถึงร้อยละ ๑๐ ของผู้ที่ติดแอลกอฮอล์


จากการที่วิตามินบี ๑ ลดน้อยลง เนื่องจากการบริโภคแอลกอฮอล์ และจากการที่แอลกอฮอล์มีพิษต่อเซลล์สมองโดยตรง ทำให้ผู้ติดแอลกอฮอล์เกิดอาการสมองเสื่อมได้ โดยความจำจะบกพร่องอย่างชัดเจน การตัดสินใจ และการใช้เหตุผลผิดพลาด หรือบกพร่องไป ทักษะในการคิดก็เสื่อมลงตามตัวไปด้วย ในบางรายหากได้รับการรักษาไม่ทัน อาจทำให้กลายเป็นโรคสมองเสื่อมอย่างถาวร ได้ นอกจากนี้แอลกอฮอล์ยังไปมีผลต่อสมองส่วนเล็กที่เรียกว่า ซีรีเบลลัม (cerebellum) ทำให้สมองส่วนนี้เสื่อมลง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการทรงตัว ทำให้การยืน และการเดินไม่มั่นคง


สำหรับผู้ชายการดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง มีผลทำให้สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลงได้ในบางรายจะทำให้ลูกอัณฑะ และท่อนำเชื้อฝ่อ ทำให้ปริมาณน้ำอสุจิ และตัวอสุจิ ลดลงซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็นหมัน ส่วนในผู้หญิง การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำ อาจส่งผลให้ไม่มีประจำเดือน รังไข่มีขนาดเล็กลง เยื่อบุโพรงมดลูกผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มีบุตรยาก นอกจากนี้ อาจทำให้เกิดการแท้งบุตรในขณะตั้งครรภ์ได้


ได้พบความสัมพันธ์อย่างชัดเจน ระหว่างผลเสียของการดื่มแอลกอฮอล์ในขณะตั้งครรภ์ กับความผิดปกติของทารก ที่คลอดจากมารดาที่ติดแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์สามารถผ่านรกไปสู่เด็กในครรภ์ได้ง่าย ซึ่งอาจมีผลทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์มารดา และเกิดการแท้งได้ นอกจากนี้ ทารกที่คลอดจากมารดาซึ่งดื่มแอลกอฮอล์อาจพบความผิดปกติต่างๆ เหล่านี้ได้ เช่น ภาวะปัญญาอ่อน กะโหลกศีรษะเล็ก น้ำหนักแรกคลอดต่ำ และน้ำหนักตัวในช่วงพัฒนาการน้อยผิดปกติ ร่างกายเล็ก มีความผิดปกติของใบหน้า และในขณะที่เด็กโตขึ้น สามารถพบปัญหาทางพฤติกรรมต่างๆ เช่น สมาธิสั้น มีความบกพร่องในการใช้สติปัญญา นอกจากนี้ ยังสามารถพบความผิดปกติของหัวใจโดยกำเนิดได้ โดยความผิดปกติต่างๆ เหล่านี้ จะเกิดขึ้นอย่างถาวร และเนื่องจากข้อมูลในปัจจุบันนี้ยังไม่พบว่า มีปริมาณแอลกอฮอล์ ในระดับปลอดภัย ที่จะไม่ทำให้เกิดผลต่างๆ ต่อทารกในครรภ์ ดังนั้น การดื่มแอลกอฮอล์ ในระหว่างการตั้งครรภ์ จึงควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง



เมื่อบริโภคแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องในปริมาณที่มากจะทำให้เกิด การติดขึ้น โดยการติดนั้น แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ ติดทางกาย และติดทางใจ ลักษณะของการติดทางกาย จะสังเกตได้ เมื่อมีการหยุดดื่ม หรือลดปริมาณการดื่มลงภายใน ๒๔ ชั่วโมง คือ จะเกิดอาการกระสับกระส่าย หงุดหงิด มือสั่น นอนไม่หลับ ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน และในบางคนจะได้ยินเสียงแว่ว ประสาทหลอน สับสน และชักได้ ส่วนลักษณะของการติดทางใจนั้น จะสังเกตได้ว่า มีอาการของความอยากอยู่เรื่อยๆ ขาดไม่ได้ ต้องพยายามหามาบริโภค แม้ว่าจะเสี่ยงต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็ตาม เมื่อผู้นั้นเกิดการติดแอลกอฮอล์แล้วก็จะกลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังในที่สุด โดยแอลกอฮอล์เริ่มไปมีผลต่ออวัยวะที่สำคัญต่างๆของร่างกายตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นสมอง ตับ หัวใจ และหลอดเลือด ทำให้เกิดโรคตับแข็ง ความจำเสื่อม และโรคหัวใจ การตัดสินใจและความมีเหตุผลลดลง ขาดสติ ซึ่งมีผลต่อความรับผิดชอบ และหน้าที่การงานอย่างมาก



สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178

ดูรายละเอียดที่ http://www.pannfiturok.blogspot.com/