วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สรรพคุณและประโยชน์ของเปลือกสนใน UROK



เปลือกสน มีสรรพคุณทางยามากมาย ซึ่งต้องเป็นเปลือกของต้นสนมาริไทม์ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง เเละยังเสริมฤทธิ์การทำงานของวิตามิน C เเละวิตามิน E ช่วยป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายตลอดเวลา


·  กระ ฝ้าและริ้วรอยบนใบหน้า

·  ลดการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด

·  โรคเกี่ยวกับเส้นเลือดดำ

·  อาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้า

·  ความผิดปกติของเส้นเลือด

·  ป้องกันโรคหัวใจและไขมันอุดตันสมอง



สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178

ดูรายละเอียดที่ http://www.pannfiturok.blogspot.com/


วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จู๋หัก ไหนใครว่าจู๋ไม่มีกระดูก


หลายคนตอนเด็ก ๆ คงเคยคิดว่าการที่อวัยวะส่วนสำคัญของผู้ชายแข็งและตั้งตรงได้นั้น เป็นเพราะข้างในมีกระดูกดามอยู่ และถ้าหากใช้ไม่ระวังให้ดีก็มีโอกาสที่จะหักกลางได้ จนเมื่อโตขึ้นมา หลายคนก็เริ่มจะมีความรู้มากขึ้น ทั้งจากการเรียนและจากการถามจากแหล่งต่าง ๆ ทำให้ทราบว่าจริง ๆ ข้างในนั้นไม่มีกระดูก แต่เป็นฟองน้ำเบ ๆ ธรรมดา ก็เลยเบาใจมาหน่อย แล้วก็เริ่มต้นใช้อย่างไม่บันยะบันยัง





























แล้วจริง ๆ จู๋หักได้หรือไม่ ถ้าหากเรายึดตามหลักพุทธศาสนานั้น ทุกสรรพสิ่งสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลงและไม่มีอะไรคงทนถาวร ดังนั้นจู๋เราก็เป็นส่วนนึงของกฎไตรลักษณ์เช่นกัน คือมันไม่เที่ยง มีตื่นก็มีเหี่ยวฉันใด มีตั้งก็มีหักได้ฉันนั้น และก็เลยเป็นที่มาของหัวเรื่องนี่แหละ ว่าจริง ๆ แล้วหนะ จู๋มันหักได้แม้ไม่มีกระดูกก็ตาม

ธรรมชาติของจู๋ผู้ชายนั้น ประกอบด้วยฟองน้ำ 2 ส่วน อันนึงชื่อ corcopa cavernosa และอีกอันนึงชื่อ corpus spongiosum ซึ่งเวลาปกติฟองน้ำพวกนี้ก็มีเลือดวิ่งเข้าไปออกมาพอเป็นกระษัย เพื่อทำหน้าที่เลี้ยงเซลล์ส่วนสำคัญให้พออยู่ได้และมีขนาดพอเหมาะพอเจาะกับการเก็บไว้ในที่ลับตา จนเมื่อถึงเวลาคับขัน เช่นถูกกระตุ้นโดยสิ่งรัญจวนเกินห้ามใจ ร่างกายก็จะส่งสัญญาณสารพัดอย่างทั้งกระแสประสาท ฮอร์โมน มาสั่งการให้เพิ่มปริมาณเลือดมาที่ฟองน้ำพวกนี้แหละ จึงเป็นสาเหตุให้จู๋คนปกติจะค่อย ๆ พองขึ้น (นึกไม่ออกลองไปเปิดน้ำใส่ฟองน้ำล้างจานได้นะ) และเมื่อมันพองได้ใจเต็มที่ เราก็จะเอามันมาใช้งานแล้วครับ




ทีนี้ถ้าหาเราใช้งานจู๋ตามปกติ ไม่สมบุกสมบันมาก มันก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งเค้าก็ใช้กันมาเป็นหมื่นปีแล้วหละ เช่นเดียวสรรพสัตว์ตัวผู้ต่าง ๆ ก็ไม่มีเรื่องเช่นกัน แต่ทีนี้มนุษย์ผู้เป็นสัตว์ประเสริฐ เราก็ย่อมมีความคิดสร้างสรรค์ความหฤหรรษ์ต่าง ๆ มากขึ้น ก็เลยเป็นที่มาของสารพัดท่าต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ ก็ครีเอตมาตั้งแต่บรรพกาลแล้วหละครับ เช่นรูปปั้นกามาสุตราของอินเดีย หรือคัมภีร์เต๋าของจีนที่มีมาเป็นพันปีแล้ว ทั้ง หงส์ร่อน มังกรรำ ลิงอุ้มแตง มณโทนั่งแท่น สารพัด ซึ่งบรรดาท่าพวกนี้แหละ ทำให้บางครั้งเกิดความมันส์จนเกิดยั้งใจเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องขึ้นมา






















ท่าที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยของการทำให้จู๋หักนั้นคือ woman on top นั่นเองครับ (แต่จริง ๆ แล้วนอกจากการมีเพศสัมพันธ์แล้ว การช่วยตัวเองที่รุนแรงผิดมนุษมนา หรือผิดปกติวิสัยก็ทำให้จู๋หักได้) ซึ่งต่อไปจะเรียกว่าหักงวงไอยราละกัน เพราะว่าจริง ๆ ลักษณะโครงสร้างของอวัยวะส่วนนี้เค้าออกแบบมาให้ใช้ในแนวราบ แต่เมื่อเราเอามาใช้ในแนวตั้ง ทีนี้เมื่อเวลาหน้ามืด มันก็เริ่มไม่ตั้งอย่างเดียวแล้ว มันดันมีเฉียงเหนือเฉียงใต้ แล้วลองคิดหละกันครับ ว่าน้ำหนักต่ำ ๆ ก็ 35++ (ถ้าหากใครที่แบกน้ำหนักต่ำกว่านี้ก็ระวังคุกหน่อยนะครับ) แล้วเอามากดใส่ฟองน้ำเบ ๆ จะเหลือหรือครับ ก็เลยทำให้ฟองน้ำเกิดอาการฉีกขาดขึ้นมา ซึ่งสัญญาณแรกที่ทำให้เจ้าตัวรู้คือ มันจะมีเสียงครับ ตามตำราเรียก cracking sign ซึ่งก็ประมาณเสียงมันฝรั่งเลย์แตกแหละครับ (อ้อ จากสถิติทางการแพทย์นะครับ พบว่าเสาเหตุที่พบบ่อยสุดคือท่ากดไปทางด้านหน้าหรือเอาน้ำหนักพาดจู๋ไปทางสะดือหนะครับ)






















เมื่อมีเสียงนี้ดังขึ้นก็งานเข้าแล้วครับพี่น้อง เจ้าทุกข์ก็จะเริ่มมีอาการปวดขึ้นอย่างทันทีทันใดและอวัยวะส่วนสำคัญก็จะเริ่มบวมขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นประมาณมะเขือม่วง (eggplant sign) หลายคนคงงงนะครับว่ามันบวมได้ไง ก็เพราะจริง ๆ จู๋คนเรามันไม่ได้มีแค่ฟองน้ำเฉย ๆ ครับ แต่มันยังมีเนื้อเยื่อคลุมฟองน้ำไว้อีกชั้นนึง (tunica albuginea) ทีนี้เมื่อฟองน้ำที่มันเก็บเลือดฉีก เลือดก็จะกระจายไปรอบทิศทางครับ อยู่ใต้เนื้อเยื่อพวกนั้น เลยเป็นสาเหตุให้มันบวมใหญ่ม่วงคล้ำขึ้นมา โดยเลือดมันจะเซาะไปทั้งบริเวณถุงอัณทะและท้องน้อยได้ ซึ่งหลายคนเห็นแล้วอย่าพึ่งหลงดีใจว่าใช้ครบโปรโมชั่นแล้วมันใหญ่ขึ้นเองนะครับ ที่เกิดขึ้นนี้หนะมันต้องรักษาครับ ซึ่งตัวของสำคัญมันก็จะเบนไปในด้านตรงข้ามกับที่มันฉีกครับ เช่นด้านขวาฉีก จู๋ก็จะบวมแล้วเอนไปด้านซ้าย โดยวิธีที่ดีที่สุดก็คือให้รีบเอาน้ำแข็งโปะครับ เพื่อช่วยยุบบวมและทำให้เส้นเลือดหดตัว จากนั้นก็หิ้วสังขารมาหาหมอครับ ซึ่งเมื่อมาถึงโรงพยาบาลเจอคุณหมอศัลยกรรมก็จะทำการแก้ไขให้ โดยวิธีผ่าตัดครับ (ต้องรีบมาหาหมอนะครับ หลายคนก็มัวแต่อายหมอไปซื้อยามาทานเอง ทำให้พลาดโอกาสทองไป มีงานศึกษาพบว่าถ้าทานยานี่โอกาสหายแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ครับ





















หลักการผ่าตัดก็คือต้องผ่าเข้าไปเพื่อหยุดและล้างก้อนเลือดออกให้หมดครับ จากนั้นก็ทำการหาตำแหน่งที่มันฉีกออกและทำการเย็บซ่อมด้วยไหมละลาย จากนั้นก็เย็บผิวหนังกลับคืนแล้วพันผ้างดใช้ซักเดือน 2 เดือนครับ ซึ่งหลังจากกลับไปใช้งานแล้ว พบว่าโอกาสกลับมาใช้งานได้เป็นปกติถึงประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ครับ



















สรุปนะครับ จู๋คนเราหักได้ถ้าไม่ระวัง หรือจริง ๆ ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องคือจู๋ฉีกมากกว่าเพราะว่ามันไม่มีกระดูก และควรยิ่งเพิ่มความระมัดระวังถ้าหากผู้หญิงจะขอขึ้นเป็นฝ่ายคุมเกมส์เอง ซึ่งอาจเอาบทความนี้ไปให้เค้าอ่านก่อนค่อยเริ่มก็ได้ และหากเกิดปัญหาขึ้นมาแล้วอย่าลืมรีบมาพบแพทย์ทางเดินปัสสาวะครับอย่ามัวแต่ทะเลาะกัน อ้อ พันผ้าเย็นหรือโปะน้ำแข็งมาด้วยนะครับ และที่สำคัญที่สุดคืออย่าลืมหยิบบัตรทองหรือบัตรเครดิตติดมือมาด้วยครับ



















สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178

ดูรายละเอียดที่ http://www.pannfiturok.blogspot.com/





วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556





คำถามที่ได้ยินกันค่อนข้างบ่อยคือ เป็นโรคเบาหวานแล้ว สมรรถภาพทางเพศจะเสื่อมลงหรือไม่ คำตอบกว้างๆ คือ เสื่อมลง แต่ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเบาหวานในผู้ชายหรือผู้หญิง และขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ ด้วย
สิ่งสำคัญที่ควรรู้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
  • โรคเบาหวานจะไม่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์เปลี่ยนไปในผู้หญิง 
  • ผู้ชายที่เป็นเบาหวาน อารมณ์ทางเพศและความสามารถในการร่วมเพศอาจลดลงได้ทั้ง 2 อย่าง 
  • การแข็งตัวของอวัยวะเพศในผู้ชายต้องอาศัยการทำงานของระบบประสาท หลอดเลือด ฮอร์โมน สารหลั่งบางอย่าง สิ่งเหล่านี้มักจะผิดปกติและเป็นต้นเหตุของ ED ในเบาหวาน 
  • เบาหวานอาจถือได้ว่าเป็นโรคที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการ ED 
  • ผู้ที่เป็นเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยมาประมาณ 10 ปี มีโอกาสเกิดอาการ ED ได้แล้วถึง 50-70% 
  • อายุยิ่งมาก ระยะเวลาเป็นเบาหวานยิ่งนาน การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี และการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ของเบาหวาน จะทำให้เป็น ED ได้มากขึ้น 
  • ผู้ที่เป็นเบาหวานมักต้องกินยาหลายชนิด บางชนิดอาจทำให้เกิด ED ได้ 
  • การรักษา ได้แก่ การแก้ไขปัจจัยเสี่ยงต่างๆ การให้ยาเม็ดเพื่อช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้นานขึ้น แต่ยาเหล่านี้ไม่สามารถกระตุ้นให้มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้น
โดยทั่วไปโรคเบาหวานจะไม่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์เปลี่ยนไปในผู้หญิง แต่ถ้าโรคเบาหวานรุนแรงมาก หรือมีโรคแทรกซ้อนหลายๆ อย่างจนหญิงนั้นหมดอารมณ์ การมีเพศสัมพันธ์จะลดลง

ในผู้ชายที่เป็นเบาหวาน อารมณ์ทางเพศและความสามารถในการร่วมเพศอาจลดลงได้ทั้ง 2 อย่าง เพราะในผู้ชาย การที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้จำเป็นต้องมีการแข็งตัวของอวัยวะเพศจนสามารถสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้หญิง การแข็งตัวของอวัยวะเพศในผู้ชายต้องอาศัยการทำงานของระบบประสาท หลอดเลือด ฮอร์โมน สารหลั่งบางอย่าง ตลอดจนอวัยวะเพศที่สมบูรณ์ ผู้ป่วยเบาหวานชาย ถ้ามีปัจจัยหลายๆ ประการที่กล่าวมานี้ขาดตกบกพร่อง มีโอกาสบ่อยที่จะเกิดการไม่แข็งตัวของอวัยวะเพศ (Erectile dysfunction หรือ ED) ทั้งๆ ที่ยังมีอารมณ์อยากจะร่วมเพศอยู่เต็มเปี่ยม

กรณีนี้ จะเป็นความทุกข์ทรมานต่อจิตใจของผู้ป่วยเบาหวานอย่างยิ่ง เพราะรู้สึกว่าเป็นชายที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังอาจมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก เช่น ภรรยาที่บ้านอาจระแวงว่าแอบไปมีหญิงอื่น หรือบางคนพาลมีอารมณ์หงุดหงิดในเวลาทำงาน ไม่มีสมาธิในการทำงาน ในผู้ชายที่ปลงได้ ก็อาจไม่มีปัญหาอะไร คิดว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงอาการ ED เป็นภาวะแทรกซ้อนอย่างหนึ่งของโรคเบาหวานที่พบได้บ่อยถึง 27% ถึง 75% ของผู้ที่เป็นเบาหวานแล้วแต่ว่าจะสำรวจในคนอายุมากหรือน้อย เป็นเบาหวานมานานหรือยัง มีโรคแทรกซ้อนของเบาหวานหรือยัง มีโรคอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่หรือไม่ กินยาที่ทำให้เกิด ED ร่วมด้วยหรือไม่ มีปัญหาทางจิตใจอย่างอื่น

ร่วมด้วยหรือไม่ ส่วนในผู้หญิงเนื่องจากกระบวนการในการมีเพศสัมพันธ์ไม่ต้องมีการแข็งตัวของอวัยวะเพศจึงไม่มีโรค ED ในผู้หญิง

ผู้ที่เป็นเบาหวานชายยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์ลดลงด้วยคือ การมีอารมณ์ทางเพศลดลงเนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตอโรน (Testosterone) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชายสูงอายุ กรณีนี้บางคนอาจไม่รู้สึกเป็นทุกข์มาก เพราะไม่มีทั้งอารมณ์ที่จะร่วมเพศ (Libido ลดลง) และอวัยวะเพศก็ไม่แข็งตัว (ED) ความทุกข์ร้อนจึงอาจไม่เท่าชายฉกรรจ์ที่มีความรู้สึกทางเพศดีอยู่แต่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวมีแต่อาการ ED


เบาหวานอาจถือได้ว่าเป็นโรคที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการ ED มีรายงานมานานมากกว่า 200 ปี คือตั้งแต่ ค.ศ. 1798 ผู้ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสพบอาการ ED ได้มากกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวานที่มีอายุเท่าๆ กัน และสามารถพบได้แม้ว่าอายุยังน้อย ผู้ที่เป็นเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยมาประมาณ 10 ปี มีโอกาสเกิดอาการ ED ได้แล้วถึง 50-70% ซึ่งอายุเป็นตัวแปรที่สำคัญของอาการนี้ คนที่อายุ 20-29 ปี พบ ED ได้ 9% อายุ >70 ปี พบได้ถึง 95% นอกจากนี้ อุบัติการณ์จะยิ่งเพิ่มขึ้นถ้าเป็นเบาหวานมานานมาก การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี และมีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว เช่น ที่ระบบประสาท หลอดเลือด หัวใจ ไต อายุเป็นตัวแปรที่สำคัญในการเกิด ED ทั้งในคนที่เป็นและไม่เป็นเบาหวาน ชายอายุ 80 ปี มีโอกาสเกิด ED ได้ 70-80% ไม่ว่าจะเป็นเบาหวานหรือไม่ แต่ที่อายุ 40 ปี ถ้าเป็นเบาหวาน มีโอกาสเป็น ED ได้ถึง 8-50% โดยที่คนทั่วไปพบได้เพียง 2% เท่านั้นที่อายุขนาดนี้


ดังกล่าวมาแล้วว่าสาเหตุของ ED มีหลายอย่าง ซึ่งแต่ละเรื่องก็พบได้ในโรคเบาหวาน หลอดเลือดแดงในคนเป็นเบาหวานจะแข็งและมีการยืดหดตัวที่ผิดปกติ ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงที่อวัยวะต่างๆ ลดลง นอกจากนี้บางส่วนของหลอดเลือดอาจมีการอุดตัน การไหลเวียนของเลือดจะยิ่งลดลง อวัยวะเพศชายประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่คล้ายฟองน้ำซึ่งเต็มไปด้วยหลอดเลือดฝอยเล็กๆ การแข็งตัวเกิดจากการพองตัวของหลอดเลือดเพราะมีเลือดไหลมาคั่งไว้ ในผู้ที่เป็นเบาหวาน อาการ ED เกิดขึ้นเนื่องจากเลือดไหลมาบริเวณนี้น้อยลงและไม่สามารถทำให้เกิดการคั่งได้ ทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัว บางครั้งแข็งตัวได้แต่อยู่ได้ไม่นาน เพราะขาดสารหลั่งที่เรียกว่า ไนตริกอ๊อกไซด์ซึ่งสร้างจากปลายประสาท และผนังด้านในของหลอดเลือดที่เรียกว่าเอ็นโดธีเลี่ยม (endothelium) ไนตริกอ๊อกไซด์มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดียิ่งขึ้น

ระบบประสาทอัตโนมัติในคนเป็นเบาหวานมักจะเสื่อมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ป่วยมานานและไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีมาตั้งแต่ต้น จัดว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนทางประสาทของโรคเบาหวานที่สำคัญที่ทำให้เกิดอาการ ED การควบคุมเบาหวานให้ดีตั้งแต่ต้นจึงเป็นทางหนึ่งที่สามารถป้องกันหรือชะลอการเกิด ED ได้ ถ้าเริ่มมาควบคุมระดับน้ำตาลหลังจากเป็นมานานแล้ว การป้องกันจะมีผลน้อยลง การเสื่อมของระบบประสาทที่มาควบคุมอวัยวะเพศจะทำให้การสร้างไนตริกอ๊อกไซด์จากปลายประสาทลดลงจึงทำให้เกิด ED

สารไนตริกอ๊อกไซด์ (nitric oxide, NO) นอกจากสร้างจากปลายประสาทแล้วยังสามารถสร้างจากเซลล์ที่บุผนังด้านในของหลอดเลือด (endothelial cell) คนเป็นเบาหวานจะมีการเสื่อมของเซลล์เหล่านี้ ทำให้สร้างไนตริกอ๊อกไซด์ได้ลดลง ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานและควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดีพอ จะยิ่งมีการเสื่อมของเซลล์เอ็นโดธีเลี่ยมได้มาก ทำให้เกิดอาการ ED ได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้หากคนที่มีภาวะความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงซึ่งพบได้บ่อยในคนเป็นเบาหวาน ก็ทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์เยื่อบุผนังด้านในของหลอดเลือดจะยิ่งทำให้เกิด ED ได้มากขึ้น ส่วนสาเหตุอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ก็มีการวิจัยพบว่าทำให้หลอดเลือดตีบลงและมีการเสื่อมของเซลล์เอ็นโดธีเลี่ยม ดังนั้นการที่จะทำให้อาการ ED ดีขึ้น จำเป็นต้องงดการสูบบุหรี่ด้วย

ในคนเป็นเบาหวานที่มีอายุมากการสร้างฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตอโรนอาจลดลง มีส่วนทำให้อารมณ์ทางเพศลดลง และเกิดอาการ ED ได้ ส่วนใหญ่ของคนเป็นเบาหวานมักต้องกินยาหลายชนิด บางชนิดก็อาจทำให้เกิด ED ได้ เช่น ยาลดความดันโลหิตสูงประเภทเบต้าบล๊อคเก้อร์ ยากดระบบประสาท ยารักษาอาการซึมเศร้า ยารักษาโรคกระเพาะอาหารบางชนิด แต่ยารักษาโรคเบาหวานไม่ว่าชนิดเม็ดหรือชนิดฉีดไม่พบว่าทำให้เกิดอาการ ED ยาลดโคเลสเตอรอลในเส้นเลือดก็ไม่ทำให้เกิดอาการนี้


ผู้ชายที่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานแล้ว ถ้ายังไม่อยากให้เกิดอาการ ED ควรดูแลสุขภาพทางเพศ

ให้ดีโดยงดเว้นการสูบบุหรี่ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์มากและบ่อยเกินควร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าให้น้ำหนักตัวมากเกิน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงมาตรฐานให้มากที่สุด หลีกเลี่ยง

การรับประทานยาที่อาจทำให้เกิดอาการ ถ้าปฏิบัติตัวได้ดีแล้ว แต่ก็ยังมีบางครั้งที่เกิด ED ควรปรึกษาแพทย์ การรักษาได้แก่การแก้ไขปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ การให้ยาเม็ดเพื่อช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้นานขึ้นจนสามารถร่วมเพศได้ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าถ้าไม่มีอารมณ์ทางเพศอวัยวะเพศจะไม่มีทางแข็งตัวได้ ยาเม็ด

เหล่านี้ไม่สามารถกระตุ้นให้มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้นแต่อารมณ์ทางเพศจะเกิดขึ้นจากการสัมผัส การมองเห็น การพูดจา ตลอดจนการมีฮอร์โมนเพศชายที่ปรกติ ในคนที่เหนื่อยล้ามากจากการทำงาน ไม่มีเวลาพักผ่อน นอนไม่หลับ 

เครียดมาก หรือการมีโรคร้ายแรงต่างๆ มากมาย อารมณ์เพศจะเกิดขึ้นได้ยาก

ผู้ที่มีอาการ ED รุนแรงการให้ยาเม็ดอาจต้องใช้ในขนาดที่สูง ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานมากกว่าโรคอื่น แต่บางครั้งการที่ใช้ยาขนาดเริ่มต้นแล้วไม่ได้ผล อาจเนื่องจากการใช้ยาไม่ถูกวิธี เช่น ให้เวลายาในการออกฤทธิ์น้อยเกินไป จิตใจยังไม่พร้อมที่จะมีกิจกรรมทางเพศ ในผู้ป่วยที่ใช้ยาขนาดสูงสุดแล้วยังไม่ได้ผลจำเป็นต้องพบแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับโรคนี้ ซึ่งอาจแนะนำการใช้ยาสอดเข้าไปในช่องปัสสาวะ การฉีดยาเข้าที่อวัยวะเพศโดยตรง หรือการผ่าตัดเพื่อฝังแกนในอวัยวะเพศ


สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178

ดูรายละเอียดที่ http://www.pannfiturok.blogspot.com/